วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แบบฝึกหัดบทที่ 4

1. มนุษย์สัมพันธ์มีความหมายว่าอย่างไร มีความสำคัญต่อองค์การอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ มนุษย์สัมพันธ์หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์การใดองค์การหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้องค์การนั้นหรือสังคมนั้นบรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ ซึ่งมี 2 ลักษณะด้วยกันคือ มนุษย์สัมพันธ์อันดี กับมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี ถ้ามีมนุษย์สัมพันธ์อันดี บุคคลในองค์การหรือสังคมดังกล่าวมีความรู้สึกพึงพอใจต่อกัน และมีความเข้าใจอันดีต่อกัน ร่วมมือกันประสานงานช่วยเหลือแบ่งปันกัน แต่ถ้ามนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี บุคคลในองค์การหรือสังคมนั้นมักจะไม่ชอบพอกัน ขัดแย้งกันไม่ร่วมมือกัน ไม่ช่วยเหลือต่างคนต่างอยู่หรือกลั่นแกล้งกัน ส่งผลให้งานส่วนรวมขององค์การหรือสังคมนั้นๆเกิดความเสียหาย บุคคลในกลุ่มขาดความสุข ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้นๆไม่มากก็น้อย

2. กลุ่มงานที่มีความสัมพันธ์อันดี มีลักษณะที่ดีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ 1. มีการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย โดยทุกคนต่างมีสิทธิมีเสียงในการแสดงความคิดเห็นต่องาน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และเคารพในมติเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งการทำงานร่วมกันในแบบประชาธิปไตยจะช่วยเสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์ในหน่วยงานได้
2. มีความไว้วางใจและเชื่อใจในความสามารถซึ่งกันและกัน ให้เกียรติและเชื่อถือในความสามารถของเพื่อนร่วมงาน ไม่ก้าวก่ายกัน เพราะการก้าวก่ายมักก่อให้เกิดความขัดแย้ง และสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
3. มีการติดต่อสื่อสารที่ดีในหน่วยงาน สามารถสร้างความเข้าใจในงานร่วมกันและยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกันด้วย ถ้ามีการติดต่อสื่อสารที่ดีจะมีส่วนส่งเสริมประสิทธิภาพของงานในการทำงานอยู่ร่วมกันในกลุ่มงานที่ดีนั้น มักใช้การสื่อสารสองทางหรือหลายทางมากกว่าการสื่อสารทางเดียว
4. มีการช่วยเหลือกันในขอบเขตที่เหมาะสม การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จักว่าเป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตร ซาบซึ้งใจพึงพอใจเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้ในขอบเขตที่เหมาะสม
5. มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ คือ มีระบบงานที่ดี มีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่และมีขอบข่ายงานที่กำหนดเด่นชัด การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีขั้นตอน และมีการร่วมมือประสานงานกันเป็นอย่างดี มักส่งผลให้งานสำเร็จและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย
6. มีการร่วมมือที่ดี เป็นพฤติกรรมของกลุ่มที่มีลักษณะไปในทางเดียวกันของสมาชิกกลุ่ม คือแต่ละบุคคลจะได้รับความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายก็ต่อเมื่อกลุ่มได้รับความสำเร็จ ดังนั้นจึงจัดได้ว่าในการทำงานร่วมกันนั้น ถ้าทำให้ทุกคนร่วมมือกันทำเพื่อให้กลุ่มทำงานสำเร็จได้ ก็จัดว่ากลุ่มดังกล่าวมีความสามัคคีและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
7. ผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะที่เอื้อต่อการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี คือมีลักษณะส่วนตัวที่พร้อมอยู่แล้วก็ย่อมส่งผลให้การทำงานกลุ่มเป็นไปด้วยไมตรีอันดี เช่นสมาชิกกลุ่มมีความสมัครใจในการทำงานนั้นรู้สึกมีส่วนร่วมในกลุ่ม รู้วิธีดำเนินงานกลุ่ม รู้นโยบายและเป้าหมายของงาน มีความเป็นกันเองคบคนง่ายมีลักษณะให้กำลังใจผู้อื่น ฯลฯ ด้วยลักษณะของสมาชิกกลุ่มดังกล่าวนี้ มักส่งผลให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน

3. แนวทางในการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน ควรปฏิบัติอย่างไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ 1. ให้ความสนใจเพื่อร่วมงาน คือบุคคลส่วนใหญ่ชอบให้ผู้อื่นสนใจ ดังนั้น จึงควรให้ความสนใจเพื่อนร่วมงานโดยการทักทายปราศรัย ถามในสิ่งดีๆ ของเพื่อนร่วมงาน
2. ยิ้มแย้ม คือการยิ้มของบุคคลที่ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง มักถึงแสดงให้เห็นถึงความนิยมชมชื่น ชอบพอ รักใคร่ จึงเห็นได้ว่าการยิ้มเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสัมพันธภาพโดยไม่จำกัดสถานะ
3. แสดงการจำได้ วิธีการแสดงการจำได้ เช่น จำชื่อ จำเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ดีๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกันกับความสำเร็จที่เพื่อนได้รับ จำวันเกิด วันสมรสของเพื่อนได้
4. เป็นคู่สนทนาที่ดี การแสดงตนเป็นคู่สนทนาที่ดีของเพื่อนร่วมงานนั้น อาจโดยทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดคุยตามความต้องการของเขา ทั้งนี้โดยต้องฟังอย่างตั้งใจฟังเพื่อให้จับใจความได้และตอบสนองตอบคำพูดของคู่สนทนา
5. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คือไม่ผูกขาดอยู่กับความคิดของตนเองข้างเดียว ผู้ที่ผูกขาดความคิดเห็นของตนมักเป็นคนที่ชอบเอาชนะเมื่อแสดงความคิดเห็น ถือเอาความเห็นของตนว่าสำคัญกว่าความเห็นของผู้อื่น มักโต้แย้งความเห็นของผู้อื่น ฯลฯ การแสดงต่อผู้อื่น โดยวิธีนี้มักทำให้ขาดเพื่อน ไม่มีใครอยากคบหาสมาคม หัวหน้างานก็มักไม่อยากมอบหมายงานให้ทำงานสำคัญ
6. แสดงการยอมรับนับถือผู้อื่นตามสถานภาพ ทั้งนี้เนื่องจากเพื่อนร่วมงานของเรานั้น บางคนมีอาวุโสด้านอายุอาจสูงส่งด้วยชาติตระกูล อาจมีความรู้สูง อาจมีทักษะประสบการณ์เหนือผู้อื่น หรืออาจมีตำแหน่งงาน เหนือใครอยู่บ้าง ผู้มีจิตใจสูง มีวุฒิภาวะของความเป็นผู้ใหญ่ ควรให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีของเพื่อนร่วมงานตามสถานภาพนั้นๆ
7. แสดงความมีน้ำใจ ซึ่งการมีน้ำใจต่อผู้อื่น อาจแสดงออกได้หลายแนวทาง เช่นการเป็นผู้ให้ ให้ความรัก ให้ความห่วงใย แบ่งปัน ช่วยเหลือ ให้อภัย ให้กำลังใจ คุณลักษณะต่างๆ เหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยซึ่งควรรักษาไว้
8. แสดงความชื่นชมยินดี เนื่องจากเพื่อนร่วมงานแต่ละคนในหน่วยงาน มักมีวันพิเศษหรือเหตุการณ์สำคัญของชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เช่น อาจจะเป็นวันรับรางวัลพิเศษ การได้เหรียญเชิดชูเกียรติ ซึ่งจัดว่าเป็นการแสดงน้ำใจให้ความสนใจ และยอมรับเพื่อนร่วมงานในความสำเร็จนั้นๆด้วย

4. การวางตนตามสถานะและบทบาทในองค์การแบ่งออกเป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ 3 ระดับ ได้แก่1. การวางตนในการร่วมกับผู้บังคับบัญชา โดยผู้บังคับบัญชา มี่ว่าจะอยู่ในระดับใด ต้องถือว่าเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานและเป็นผู้ต้องรับผิดชอบงานในที่ทำงานเหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องให้ความสำคัญกับผู้บังคับบัญชา ให้ความเคารพนับถือ ให้ความร่วมมือ และเชื่อฟังในสิ่งที่ชอบด้วยเหตุและบทบาทหน้าที่
2. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับเดียวกัน มักมีอิทธิพลต่อกันและกันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีบทบาทสูงต่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์การ เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด และงานหลายงานก็ยังต้องอาศัยความร่วมมือและน้ำใจช่วยเหลือกัน ดังนั้น การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกันนั้น จึงต้องวางตนโดยเป็นผู้ให้ให้มากที่สุด
3. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยการคำนึงอยู่เสมอว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาคือฝ่ายปฏิบัติงานในหน่วยงาน เปรียบเสมือนมือและเท้าของผู้บริหาร ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความสุขในการทำงานก็มักส่งผลเสียต่องาน และมีผลกระทบทางลบมาถึงผู้บังคับบัญชาได้ในที่สุด นอกจากนั้น ผลงานของลูกน้องทุกคนทั้งหมดเมื่อรวมกันแล้วก็คือผลงานของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจึงควรต้องให้ความสำคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ผลงานดี และมีบรรยากาศของความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย

งานที่ 2 หลากมารยาทดีๆ ในที่ทำงาน

การรู้จักกาลเทศะ มีมารยาทและวางตัวดีในที่ทำงานจะช่วยให้การงานราบรื่น ช่วยผ่อนความเครียดที่อาจเกิดจากคนรอบข้างได้ มันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะกับการทำงานกับคนมากมายทุกๆ วันโดยที่คนเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อนหรือคนที่รู้จักคบหากันมาก่อน ดังนั้นการเรียนรู้มารยาท และการวางตัวในที่ทำงาน ก็จะช่วยให้การงานราบรื่นขึ้น ลองนำเคล็ดลับไปใช้ดูซีคะ
1. ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัวคุณควรรอให้อนุญาติให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่าดื่มชา กาแฟมั้ยก็ควรตอบรับเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคืออย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลาและให้เวลากับการแนะนำตัวเองอย่างไม่จำกัดเวลาแม้ว่าคุณอาจพลาดกับรถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหากคุณบอกว่า "ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ" นั่นอาจหมายถึงว่าคุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์
2. พนักงานใหม่ควรวางตัวอย่างไรหากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงานในที่ทำงานใหม่ก็อย่าเพิ่งกังวล คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อนและสังเกตุขนบธรรมเนียมและมารยาทในที่ทำงานใหม่เพราะคุณอาจทำงานได้ดีมากแต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน
3. ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงานคุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควรเอาของใช้ เช่น กระเป๋าหรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงานแม้ว่าคุณอยากจะโชว์ให้เพื่อนร่วมงานเห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะเกิดขึ้นถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานเพราะมนุษย์ส่วนมากมักมีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอหรือจามก็ควรออกนอกห้อง
4. หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดีขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้วเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้องคุณและคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสางงานอย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่าไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วยก็ให้รักษาระยะห่างไว้
5. จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ยหากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่มหรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น "ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ" และหากคุณไปด้วยก็ควรอยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15 นาที
6. ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่นคุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้นคุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่า คุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์
7. เจอเพื่อนร่วมงานกลางทางให้คุณเดินไปหาและทักทาย หากคุณไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานอยากจะทักคุณหรือไม่ ก็ให้คุณพยายามสบตาด้วย หากเธอมองไปทางอื่นก็แสดงว่าเธอไม่อยากทักทายคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้ประตูรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ก็ให้หยุดรอตอนขาลงและทักทายเธอ คุณก็จะได้เพื่อนร่วมทาง หรือหากคุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็ต้องขึ้นรถเช้ากว่านี้เพื่อไม่ต้องเจอกัน ในลิฟต์ บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบและเจอผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ควรทักทายแล้วจะหันหน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่าและควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหนแล้วกดลิฟต์ให้ด้วย
8. ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุมเพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทางโน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุมไม่อาจรับโทรศัพท์ได้ หรือระหว่างพักการประชุมก็โทรศัพท์ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ ก็ให้ออกไปพูดนอกห้องประชุม
9. การโต้ตอบอีเมลควรตรวจเช็กและตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวันและที่ดีที่สุดคือตอนเย็น หากคุณไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่าคุณจะอยู่ในออฟฟิศอีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ก็ควรเขียนอีเมลอย่างระมัดระว้ง ถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบเพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่ายเมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้นและลงท้ายอย่างมีมารยาท

ที่มา http://www.citylifefm.com/cityboard/viewtopic.php?t=4760

งานที่ 2 การพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ

1. เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า
จากผลการทดลองพบว่า 90% ของกำลังสมอง หมดไปกับการคิดเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์ และมักจะใส่ความคิดผิด ๆ ให้สมองของตัวเอง ดังเช่นการทำงานของคอมพิวเตอร์ ถ้าใส่ software ที่ผิด ผลการคำนวณก็ออกมาผิดถ้าจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ ในทางทฤษฎีพบว่า "สมองมนุษย์เก็บข้อมูลได้เยอะกว่าและสามารถประมวลที่มีความสลับซับซ้อนได้รวดเร็วดีกว่าคอมพิวเตอร์" ถ้าสมมติฐานดังกล่าวเป็นจริง เราก็น่าจะเรียนรู้อะไรได้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ แต่ในชีวิตจริงทำไมกลับตรงกันข้าม หรือเป็นเพราะเราไม่รู้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เรียนรู้ช้าและปัจจัยอะไรที่ทำให้เรียนรู้ได้เร็ว เมื่อคุณพบคำตอบ คุณอาจค้นพบตัวเองก็ได้
2. ทำไมเราจึงเรียนรู้ช้า
เพราะขาดความสามารถในการจดจ่อความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ และไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดในทางที่สร้างสรรค์ได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกชักจูงความคิดให้โดดไปมา คิดเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่ก่อความทุกข์ให้กับตัวเอง และมักปล่อยให้ความคิดในทางทำลายตัวเองเข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้เรียนรู้ช้า คิดไม่ชัดเจนหรือคิดไม่ทัน ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถตั้งใจคิดได้ คุณก็จะไม่พบคำตอบ
3. ทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ได้เร็ว
1. เปลี่ยนความคิดจากทางลบ (Negative) มาเป็นทางบวก (Positive)
- ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ถ้าอยากฉลาดแบบนักคิดระดับโลก ก็ต้องคิดเหมือนพวกเขา คือ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเป้าหมาย เช่น ก่อนจะอ่านหนังสือก็ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะอ่านอะไร อ่านไปเพื่ออะไร เป็นต้น
- ต้องรู้ระบบความคิดของตนเองก่อนว่าความคิดไหนทำให้เราคิดในทางลบ เช่น เมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ได้ เราจึงคิดว่าเราทำไม่ได้ เชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะความจำไม่ดี เป็นต้น- ตัดความคิดในทาง Negative ทิ้งแล้วใส่ความคิดในทาง Positive ลงไปแทนที่ เช่น คนอื่นทำไม่ได้ช่างเขา เราทำได้ก็แล้วกัน ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้ เป็นต้น
2. หัดผ่อนคลายทั้งกายและใจจากการทดลองพบว่า คนเราจะเรียนรู้ได้เร็วเมื่ออยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้น เราควรรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง เช่น ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือการสวดมนต์ อาจกล่าวได้ว่า การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยยับยั้งความคิดทาง Negative ได้ชั่วคราว
3. พยายามสังเกตว่าตัวเองเรียนรู้ได้ดีจากสื่อใดถึงแม้สมองจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วจากการพูดคุยกับผู้อื่น การอ่าน ต้องคิดหาตรรกะ (logic) ด้วยตนเอง ต้องเห็นด้วยตา ถ้าฟังไม่เข้าใจต้องเขียนหรือดูภาพ หรือบางคนต้องฟังอย่างเดียว ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มประิสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น จำเป็นต้องสำรวจตัวเองว่า
- รูปแบบการเรียนรู้แบบใดทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว
- ในช่วงเวลาใดของวันที่เรามีสมาธิสูงสุด กระตือรือร้นสูงสุด
4. พยายามสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับสมองจะช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจใช้การตั้งคำถาม การเปรียบเทียบข้อมูล เพราะสูงสุดของการเรียนรู้ คือ การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำนอกจากจะทำให้มีความสดชื่น กระตือรือร้นแล้ว เมื่อออกกำลังกายนานติดต่อกัน 12 - 20 นาที จะส่งผลให้สมองทำงาน (function) ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สมองทั้ง 3 ส่วน คือ สมองส่วนซ้าย ส่วนขวา และส่วนกลาง ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ทำให้สามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้สมองทั้ง 3 ส่วน ได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว
6. ควรเข้าใจการทำงานของสมองการทำงานของสมองในส่วนความจำจำทำงานได้ดีในเวลาที่ต่างกัน ดังนี้- ช่วงเช้า ความจำระยะสั้น - ช่วงบ่าย ความจำระยะยาว - ก่อนนอน ความจำเกี่ยวกับตัวเลข
4. ทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในแต่ละแบบได้
ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน บางคนจะเรียนรู้ได้ดี จากการพูดคุยหรือจากการอ่าน เป็นต้น ดังนั้น วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองย่อมแตกต่างไปตามรูปแบบการเรียนรู้ ดังนี้
1. การสร้างความจำทางกายภาพสมองมนุษย์สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ภายในเวลา 1/1000 วินาที ข้อมูลที่ได้รับจะอยู่ภายในสมองครบถ้วนโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่เราไม่สามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้ สาเหตุหนึ่งมาจาก "การลืม" ทุกครั้งที่ได้รับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอ่าน ฟัง หรือคิด เป็นต้น จะเกิดอัตราการลืมโดยเฉลี่ยภายใน 5 นาที จะจำข้อมูลได้ 50% และถ้าผ่านไป 1 วัน จำได้ 10% จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ แต่ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในสมองของเรา 2. การอ่านinformation if power ในสังคมปัจจุบันใครที่มีข้อมูลมากก็ย่อมมีความคิดที่ลุ่มลึกกว่า และความคิดก็จะนำมาซึ่งเงินทอง ฐานะ ตำแหน่ง และอำนาจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน เราควรทราบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านด้วยวิธีง่าย ๆ อันดับแรก คือ ถามตัวเองก่อนว่า "เราต้องการประโยชน์อะไรจากการอ่านในครั้งนี้"

เทคนิคในการอ่านเร็ว
1. ควรอ่านไม่มีเสียง อ่านในใจ
2. การอ่านจับใจความสำคัญ เพื่อหาประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ สามารถทำได้โดย เริ่มต้นการอ่านด้วยการหา Key concept แล้วตัดสินใจว่าจำเป็นต้องอ่านหรือไม่ เราต้องการรู้อะไร และจะอ่านส่วนไหนบ้าง รวมทั้งอ่านเจาะประเด็น ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาอ่านทุกหน้า
3. ต้องประเมินแหล่งข้อมูล เพราะประโยชน์สูงสุดของการอ่าน คือ การนำข้อมูลมาใช้ จึงจำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือ และแหล่งที่มาของข้อมูล โดยการพิจารณาจากความทันสมัย (update) ของข้อมูล สำนักพิมพ์ เป็นต้น
3. การฟังตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมอง ถ้าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะ ๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูกบันทึก (memory) ลงในสมอง ซึ่งมีกลวิธี ดังนี้
1. ประเมินผู้พูด : มีความน่าเชื่อถือหรือไม่
2. self-talk : ถามตัวเองตลอดเวลาว่า "ผู้พูดต้องการพูดเพื่ออะไร"
3. ฟังด้วยความรู้สึก : ใช่หรือไม่ใช่
4. การคิดคนที่ประสบ่ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมี IQ สูง แต่ต้องมีความคิดอย่างเป็นระบบ และคิดอย่างสร้างสรรค์ ในเรื่องที่มีประโยชน์

ที่มา : สลค. สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 5 เดือนพฤษฎาคม 2549

http://www.moe.go.th/check/newnaru13.htm

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ผลไม้ที่ใช้ล้างพิษ


แอปเปิ้ล

เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมาก ซึ่งมันจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่

องุ่น

เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย
สับปะรด

มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยกำจัดน้ำมูก
มะละกอและมะม่วง

มะละกอและมะม่วงมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย
แตงโม

แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมงจะทำให้คุณได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของมันอุดมด้วยคลอโรฟิลล์ และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน

วิจัยข่า...ใช้ต้านผิวหนังสัตว์ พัฒนาตำราโบราณ คุณสมบัติออกมาดี..


สุขภาพสัตว์...เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ผู้เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นภาคปศุสัตว์ที่เลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ หรือว่าสัตว์ที่น่ารักสำหรับผู้รักสัตว์... โดยเฉพาะเกี่ยวกับโรคผิวหนังซึ่งมีอิทธิพลต่อราคาซื้อขายสัตว์
นักวิชาการที่เกี่ยวข้องจึงได้หาวิธีที่จะทำให้สัตว์เลี้ยงทั้งหลายปลอดจากโรคผิวหนัง ซึ่งก็มี ผศ.การันต์ ชีพนุรัตน์ และอาจารย์ไฉน น้อยแสง 2 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี วิทยาเขตปทุมธานี จึงได้นำเอาข่าอันเป็นทั้งอาหาร และสมุนไพรเป็นวัตถุดิบในการต้านเชื้อแบคทีเรียทำให้ เกิดโรคผิวหนังในสัตว์ได้เป็นผลสำเร็จ
เจ้าของงานวิจัย บอกว่า...งานวิจัยเกี่ยวกับโรคผิวหนังสัตว์ ได้มุ่งถึงประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียในสัตว์ เพราะโรคผิวหนังอักเสบในสัตว์ที่เกิดจากแบคทีเรียส่วนมากเกิดจากกลุ่ม Staphylococcus spp และมีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะน้อย...
โดยเฉพาะ กลุ่ม ยาเพนนิซิลิน ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นสารเคมี อันจะเป็นอันตรายต่อสัตว์ซึ่งทำให้เกิดการแพ้ยาได้ และหากมีการใช้ยาเป็นระยะเวลานานๆแล้วยังเกิดปัญหาการดื้อยา และยาเหล่านี้จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ทำให้ต้องเปลี่ยนยาตัวอื่นซึ่งมีผลการรักษาดีกว่า...หรือต้องเพิ่มปริมาณ ตัวยาเดิมให้มากขึ้น หรือใช้ระยะเวลาในการรักษานานขึ้น
ด้วยเหตุผลนี้เองจึงได้หันมาวิจัยประสิทธิภาพของ ข่าจากตำรับยาไทยแผนโบราณที่เข้าเครื่องยารักษาผิวหนังอักเสบจากแบคทีเรีย และโรคผิวหนังจากเชื้อรา เอามาเป็นต้นแบบในการทำวิจัย
ขั้นตอนการวิจัยนี้ได้สกัดสาร ละลายชนิดต่างๆเพื่อที่จะทราบว่า ชนิดใดจะมีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococusaureus, Pseudomonas aeruginosa และ Escherichia coli จึงได้ นำสารละลาย 4 ชนิด คือ เฮกเซน, โคลโรฟอร์ม, เอทิลอะซิเตท และเมทานอล ที่ระดับความเข้มข้น 160 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร โดยวิธี Agar well diffusion มาทดลองทำลายและสกัดการเจริญเติบโตของเชื้อดังกล่าว
ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า สารสกัดข่าที่สกัดด้วยตัวทำ ละลายโคลโรฟอร์ม และ เอทิลอะซิเตท มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียทั้ง 3 ชนิด...ได้ดีกว่าสารสกัดข่าที่สกัดด้วยตัวทำละลายเฮกเซน และเมทานอล

สมุนไพรที่ใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูง


โรคความดันโลหิตสูงจะพบมากในคนอ้วน คนที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัด คนที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า มีความเครียดเป็นเนืองนิตย์ โรคนี้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่มีการเตือนล่วงหน้า มักพบในคนวัยกลางคนขึ้นไป จะมีอาการปวดศีรษะ มักปวดตรงท้ายทอย หากไม่ได้รักษา อาการก็จะเป็นมากขึ้น มีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ไต สมอง เป็นต้น จึงพบบ่อยๆว่ามีคนสูงอายุ ที่อยู่ดีๆแล้วล้มลง แล้วกลายเป็นอัมพาตไป จากการที่เส้นโลหิตในสมองแตก ส่วนใหญ่มีโรคความดันโดยไม่รู้ตัว หรือรู้แต่คิดว่าหายแล้ว จึงไม่มีการวัดและควบคุม ให้อยู่ในระดับปกติจะด้วยยาแผนปัจจุบันหรือสมุนไพรก็ได้ เมื่อรู้ว่าเป็นโรคนี้ต้องกินยาและควบคุมปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น การควบคุมน้ำหนัก การงดอาหารเค็ม การคลายเครียด ที่สำคัญคือ ต้องตรวจวัดความดันอย่างสม่ำเสมอ สมุนไพรที่นิยมใช้ลดความดันได้แก่ บัวบก บัวบกช่วยทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ร่างกายไหลเวียนได้ดีขึ้น จึงช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดความดัน รวมไปถึงช่วยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น สมุนไพรอื่นๆที่เรารู้จักกันดีสามารถความดันได้ คือ คื่นไฉ่ กระเจี๊ยบแดงฯ ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงควรรับประทาน สมุนไพรเหล่านี้เป็นอาหารสุขภาพ แต่ยังไม่แนะนำให้เลิกยาแผนปัจจุบัน เพราะผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีหลายระดับ และอาจมีโรคอื่นๆ ร่วมด้วย ดังนั้นจึงควรพบแพทย์ประจำตัว ซึ่งเมื่อท่านปฏิบัติตัวได้ดี สามารถความคุมความดันได้ แพทย์จะใช้ยาขนาดที่น้อยที่สุด

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ขิง บรรเทาอาการแน่น จุกเสียด ป้องกันผมร่วง


สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ ฉบับที่แล้วยังเล่าให้ฟังไม่จบเลยค่ะ เรื่องขิง ฉบับนี้ก็เลยจะขอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับงานวิจัยขิงต่อ เพื่อให้ท่านผู้อ่านนำไปใช้ประโยชน์กันได้จริงๆ เพราะขิงเป็นพืชสมุนไพรที่หาได้ง่ายในบ้านเรานั่นเอง ในเรื่องของขิงกับการบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ หรืออาการแพ้ท้อง นั้นก็พบว่าขิงสามารถช่วยป้องกันอาการเหล่านั้นได้ งานวิจัยชิ้นแรกทำในปี ค.ศ.1982 หรือประมาณ พ.ศ.2525 โดยมหาวิทยาลัย Brigham Young ในประเทศอังกฤษ ซึ่งผลการวิจัยนี้ก็ได้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชื่อดัง Lancet งานวิจัยได้มีการศึกษาผลในการบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนอันเนื่องจากการที่ร่างกายต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เปรียบเทียบระหว่างยาแก้แพ้ชื่อ ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate) ขนาด 100 มิลลิกรัมและขิงผงขนาด 940 มิลลิกรัม ในอาสาสมัครที่มีประวัติเมารถหรือเมาเรือ โดยให้อาสาสมัครนั่งเก้าอี้หมุนที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พบว่าขิงผงทำให้อาสาสมัครนั่งอยู่บนเก้าอี้หมุนได้นานกว่ารับประทาน ยาไดเมนไฮดริเนตถึง 57 เปอร์เซ็นต์ จากงานวิจัยชิ้นนี้ นักวิจัยได้แนะนำให้ใช้ขิงแคบซูล ชาชงขิง หรือ เครื่องดื่มจิงเจอร์เอล (Ginger ale) ซึ่งดิฉันได้เล่าให้ฟังไปเมื่อคราวที่แล้วในการบรรเทาอาการเมารถและเมาเรือ นอกจากนั้นยังมีการศึกษาในทหารเรือชาวสวีเดน พบว่าการรับประทานขิงจะช่วยลดอาการเมาเรือได้ 72 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับประทานยาหลอก (ยาหลอก เป็นชื่อเรียกสารที่ให้กับอาสาสมัครในงานวิจัย ซึ่งโดยปกติยาหลอกจะไม่มีผลต่อการรักษา แต่การให้ยาหลอกก็เพื่อเป็นการลดผลทางจิตวิทยาว่า อาสาสมัครไม่ได้รับยาเพื่อการรักษาโรค) นอกจากนั้นยังมีการวิจัยในอังกฤษถึงประสิทธิภาพของขิงในการป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนเนื่องจากการผ่าตัด โดยเทียบกับยาต้านการอาเจียน ชื่อเมโทโคลปราไมด์ (Metoclopramide) พบว่าขิงช่วยป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนเนื่องจากการผ่าตัดได้มากกว่ายาเมโทโคลปราไมด์ อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีการวิจัยเรื่องขิงในการป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนเนื่องจากการได้รับยาเคมีบำบัดของผู้ป่วยมะเร็งก็ตาม แต่ใน Commission E หรือตำรายาโบราณของเยอรมันก็ระบุไว้ว่ามีการใช้ขิงเพื่อป้องกันอาการอาเจียนในผู้ป่วยมะเร็งอย่างได้ผล ขิงยังช่วยบรรเทาอาการจุกเสียดแน่น การวิจัยในห้องปฎิบัติการพบว่าในขิงมีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงเอนไซม์ที่ใช้ย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร ดังนั้นคนที่มีอาการแน่นจุกเสียด หรือมีปัญหาเนื่องจากอาการไม่ย่อยก็สามารถรับประทารขิงได้ ขิงยังช่วยลดอาการปวดเกร็งในช่องท้องเนื่องจากโรคในทางเดินอาหาร รวมถึงอาการปวดประจำเดือนในช่วงที่ผู้หญิงมีรอบเดือนได้ด้วย การวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารที่มีชื่อเสียง New England Journal of Medicine พบว่าขิงช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยป้องกันการแข็งต้วของเลือด (Blood clots) ซึ่งการแข็งตัวของเลือดนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจวายและอัมพฤกอัมพาตได้ ดังนั้นบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจึงแนะนำให้รับประทานขิงเพื่อให้อายุยืน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ซึ่งพบกันมากในสังคมปัจจุบัน ขิงยังช่วยป้องกันอาการปวดจากบาดแผลได้ ถึงแม้ว่าขิงจะไม่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นก็ตาม ส่วนการวิจัยในห้องปฎิบัติการพบว่าขิงมีสารต้านการอักเสบซึ่งคนยุโรปในสมัยโบราณใช้ขิงในการบรรเทาอาการอักเสบของข้อเข่า (Arthritis) สุดท้ายการศึกษาของแพทย์จีนพบว่าขิงช่วยฆ่าเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา(Influenza virus) ซึ่งเป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุของการเกิดหวัด ส่วนการศึกษาของอินเดียพบว่าขิงช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ ซึ่งการศึกษานี้สนับสนุนให้เห็นถึงการใช้ขิงของคนจีนโบราณในการบรรเทาอาการไข้หวัดและโรคอันเกี่ยวเนื่องกับการติดเชื้อ ไม่ใช่ว่าขิงจะมีประโยชน์ในทางยาเท่านั้น ขิงยังถูกนำมาใช้เพื่อความงามด้วย อย่างเช่นแชมพูขิงที่โรงพยาบาลอภัยภูเบศรทำอยู่ ขิงจะช่วยลดความมันของหนังศรีษะ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหนังศรีษะ เวลาที่เลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะใด อวัยวะนั้นก็จะมีการทำงานที่ดีขึ้น อย่างเช่น หนังศรีษะถ้ามีเลือดมาเลี้ยงมากๆ ก็จะกระตุ้นให้เส้นผมงอกมากขึ้นได้ ซึ่งขิงเองเหมาะกับคนที่มีปัญหาผมร่วงที่เกิดจากภาวะหนังศรีษะมัน ดังนั้นถ้าใครมีปัญหาอย่างที่ว่าก็อย่าลืมลองใช้ขิงดูนะคะ
ขิงมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งมดลูกพริกกำราบมะเร็งม้ามจนงอหงิก นักวิทยาศาสตร์รายงานต่อที่ประชุมสมาคมวิจัยโรคมะเร็งแห่งอเมริกาว่า ขิงมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งมดลูก และสารประกอบในพริก ช่วยกำราบมะเร็งของม้ามให้หดเหี่ยวได้ อย่างไรก็ดี การศึกษาขิงยังทำกับเซลล์ มะเร็งในจานทดลอง ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ยังอยู่อีกไกลกว่าจะเอามาใช้กับคนไข้จริงๆได้ แต่ก็นับเป็นขั้นแรกของการทดสอบความคิด ดร.รีเบกกา หลิว ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาสูติศาสตร์และโรคเฉพาะสตรี ของศูนย์โรคมะเร็ง มหาวิทยาลัยมิชิแกน หัวหน้าคณะผู้วิจัยรายงานว่า ขิงฆ่าเซลล์ มะเร็งลงได้ 2 แบบ แบบหนึ่งโดยทำให้ เซลล์มะเร็งทำลายตัวเองและอีกทางหนึ่งทำให้เซลล์ย่อยตัวเอง ขิงได้แสดงให้ เห็นว่า มีฤทธิ์ควบคุมการอักเสบไว้อยู่มือ ซึ่งการอักเสบติดเชื้อเป็นสาเหตุทำให้เกิดเป็นมะเร็งที่มดลูกขึ้น ในการศึกษาวิจัยอีกเรื่องหนึ่ง ได้พบว่าสารแคป-ไซซิน ได้ก่อชนวนให้เซลล์ มะเร็งตายราบได้ ยิ่งกว่านั้น ยังทำให้ก้อนมะเร็งหดเล็กลงอย่างสังเกตได้ด้วย โดยที่มันกัดกินเนื้อมะเร็งของม้าม โดยไม่แตะต้องเซลล์ ปกติของม้ามแต่อย่างใด และก่อนหน้าเมื่อเดือนก่อนนี่เอง นักวิจัยในลอสแอนเจลิสก็รายงานว่า สารแคปไซซินได้ฆ่าเซลล์มะเร็งของต่อมลูกหมาก แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังแย้งว่า แม้ว่าจะปรากฏว่ามีสารประกอบหลายอย่างสามารถหยุดยั้งมะเร็งในหนูได้ แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่ามันแสดงผลได้ใกล้เคียง เมื่อเปลี่ยนเอามาใช้กับคนไข้โรคมะเร็ง เหมือนอย่างที่ปรากฏในหนูเลย.

ลูกสำรอง หรือ พุงทลาย


เป็นอาหารที่ดับร้อนใน ได้เร็วกว่าสมุนไพรตัวอื่น อาหารแก้ร้อนในหมายถึง อาหารอะไรที่กินเข้าไปแล้ว ดูดซับไขมันได้ จัดว่าเป็นอาหารแก้ร้อนใน ลูกสำรองเป็นตัวดูดซับไขมันที่หน้าท้อง จึงเรียกอีกชื่อว่าพุงทลาย คือ พุงคนเราที่มีไขมันเกาะรอบๆสะดือ แล้วมีไขมันรุ่นใหม่เข้ามาก็จะเกาะติดเพิ่มเข้าไปอีก การกินสำรอง จะไปช่วยดูดซับไขมันอุ้มไขมัน เพื่อให้ขับถ่ายออกมา ถ้ากินตอนเช้าจะช่วยลดหน้าท้องได้เวลาที่เหมาะแก่การกินลูกสำรอง
03.00 -ช่วยบำรุงปอดให้แข็งแรง
05.00 -ช่วยบำรุงลำไส้ใหญ่ให้บริหาร
07.00 -ช่วยรักษาและเคลือบกระเพาะอาหาร
09.00
-ช่วยให้ม้ามดูดซึมความชื้น ดูดซับไขมันในลำไส้และกระเพาะอาหาร กินเวลานี้ช่วยลดหน้าท้องบ่ายถึงเย็น -ช่วยบำรุงไตให้แข็งแรง และได้แพคตินไปสมานแผล19.00
-กินคู่กับน้ำดอกคำฝอย ช่วยลดไขมันในเลือดก่อนนอน
-ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีในตอนเช้า

ชะพลู


ยาปรับธาตุ ควบคุมน้ำตาลในเลือด สวัสดีค่ะ ฉบับนี้ขอเริ่มต้นด้วยข่าวประชาสัมพันธ์กันก่อนก็แล้วกันนะคะ ขอเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านเข้าร่วมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่3 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพคเมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 3 กันยายน 2549 นี้ค่ะ ในงานนอกจากอภัยภูเบศรซึ่งจะร่วมงานอย่างแน่นอนแล้ว ก็ยังมีหน่วยงานราชการและผู้ผลิตสมุนไพรไปร่วมงานกันมากมาย รับรองค่ะว่าถ้าท่านไปงานนี้ไม่ผิดหว้งอย่างแน่นอน ส่วนตัวผู้เขียนก็ไปแน่นอนค่ะ ถ้าอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลสมุนไพรก็เรียนเชิญได้ที่บูธอภัยภูเบศร ส่วนท่านผู้อ่านที่ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ผู้เขียนจะเก็บภาพงานมาฝากในฉบับเดือนตุลาคมค่ะ ส่วนฉบับนี้ขอทำหน้าที่ก่อนนะคะ มีผู้อ่านท่านหนึ่งโทรมาถามผู้เขียนถึงสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาเบาหวาน และติงผู้เขียนว่าเขียนเชียร์แต่มะระขี้นก แล้วตัวอื่นหล่ะได้ผลหรือไม่ ผู้เขียนก็ไม่ได้เชียร์อะไรทั้งสิ้นค่ะ เพียงแต่ให้ข้อมูลตามเอกสารที่มีการตีพิมพ์และประสบการณ์ของผู้เขียนเองเท่านั้น ดังนั้นในฉบับนี้เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานมีทางเลือกมากขึ้น จึงใคร่ขอแนะนำชะพลู ซึ่งเป็นสมุนไพรอีกชนิดของอภัยภูเบศรที่สามารถนำมาใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ชะพลูมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Piper sarmentosum Roxb. ชะพลูเป็นไม้ล้มลุก แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือไม้เถาและไม้เลื้อย ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหัวใจ หน้าใบสีเขียวเขัมลื่นเป็นมัน หลังใบสากมีสีเขียวหม่น ชะพลู บางคนเรียกว่า ช้าพลู ซึ่งในแต่ละพื้นที่ ก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น ผักอีเลิด (ใชัเรียกช้าพลูชนิดเถา) ผักอีไร (ใช้เรียกช้าพลูชนิดเลื้อย) หรือ นมวา เป็นต้น ชะพลูชอบขึ้นตามที่ชื้นและที่ลุ่มต่ำ บ้างก็อยู่ข้างลำธาร บ้างก็อยู่ในป้าดิบแล้งและก็มีตามบ้านเรือนที่ปลูกพืชผักสวนครัวกันในประเทศไทยนั้นก็ปลูกกันแทบทุกภาคเลยก็ว่าได้ ชะพลูมีประโยชน์ทั้งทางยาและทางอาหาร ในตำรายาโบราณมีคำกล่าวว่า "รากชะพลูแก้คูถเสมหะ (ขับเสมหะออกทางอุจจาระ) ต้นแก้อุระเสมหะ (เสมหะในทรวงอก) ลูกขับศอเสมหะ (เสมหะในลำคอ) ใบทำให้เสมหะงวดและแห้งเข้า แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ" ส่วนวิธีการรับประทานก็จำง่ายๆ โบราณท่านว่าให้ต้ม 3 เอา 1 หมายถึงใส่น้ำ 3 ส่วน ต้มใบ ราก หรือ ทั้งต้นของชะพลู ต้มจนเหลือน้ำ 1 ส่วน อย่าใช้ไฟแรงเกินไป ต้องต้มให้ยาค่อยๆเดือด แล้วจึงนำมารับประทาน 1/2 - 1 แก้วก่อนอาหาร 3 เวลา ก็จะช่วยขับเสมหะ แก้จุกเสียดได้ ชะพลูยังนำมาใช้เป็นยาปรับธาตุในร่างกายได้ด้วย ซึ่งคนโบราณท่านมิได้ศึกษาปฎิกิริยาต่างๆ ในร่างกายออกมาเหมือนกับหมอแผนปัจจุบัน แต่ท่านสังเกตเอาจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แล้วจึงนำสมุนไพรมาปรุงแต่งรับประทานในรูปของยาและอาหารเพื่อแก้อาการเหล่านั้น จนสรุปเป็นทฤษฎีการปรับธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ โดยนำสมุนไพร 9 ชนิด ได้แก่ ช้าพลู ดีปลี สะค้าน เจตมูลเพลิงแดง ขิง พริกไทย สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม มาปรุงเป็นยาปรับธาตุทั้ง 4 ใช้รักษา เมื่อธาตุนั้นๆ มีอาการพิการ (ผิดปกติ) กำเริบ (มากเกินไป) หรือหย่อน (น้อยไปหรือไม่สมบูรณ์) นอกจากประโยชน์ทางยาแล้ว ชะพลูยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย ฉบับหน้าจะมาเล่าให้ฟังถึงคุณค่าทางอาหาร รวมถึงงานวิจัยของชะพลูที่มีอยู่ในขณะนี้ สวัสดีค่ะ


ชะพลู อาหารผู้ป่วยเบาหวาน

จริงๆแล้วจากการทบทวนข้อมูลของชะพลู ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างจะเห็นว่าชะพลูเหมาะที่จะนำมาปรุงเป็นอาหารมากกว่ายา เพราะโดยตัวของชะพลูเองแล้วจะช่วยปรับธาตุของร่างกายให้ได้สมดุลดังนั้นการใช้ประโยชน์ในแง่ของการส่งเสริมสุขภาพจะมีประโยชน์มากกว่าการซ่อมสุขภาพเมื่อป่วยแล้ว แต่อีกมุมหนึ่งตัวชะพลูเองก็มีคุณค่าทางอาหารสูงอย่างคาดไม่ถึง ในใบชะพลู 100 กรัม ให้พลังงานกับร่างกาย 101 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย

-เส้นใย 4.6 กรัม

-แคลเซียม 601 มิลลิกรัม

-ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม

-เหล็ก 7.6 มิลลิกรัม

-วิตามินบีหนึ่ง 0.13 มิลลิกรัม

-วิตามินบีสอง 0.11 มิลลิกรัม

-ไนอาซิน 3.4 มิลลิกรัม

-วิตามินซี 22 มิลลิกรัม

-โปรตีน 5.4 กรัม

-คาร์โบไฮเดรต 14.2 กรัม

-และให้เบต้า

-แคโรทีนสูงถึง 414.45 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล

ขมิ้นชัน


ใช้กินเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปลือก หรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การกิน
ขมิ้นชันมีประโยชน์ และสรรพคุณ หลายประการดังนี้ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ,ซี,อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ

- สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร
- ช่วยย่อยอาหาร
- ทำความสะอาดให้ลำไส้
- เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ
- ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ
- สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง
- กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง
- ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี
กินขมิ้นชันให้ตรงเวลากินตรงเวลาที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูของระบบของอวัยวะ กินเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็กินครั้งละ 1 แคปซูล ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้ากินในจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ กินขมิ้นชันให้เป็นอาหารไม่ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุก ใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากินและยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นชันจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้บางส่วน ถ้ากินขมิ้นชันสดๆต้องปอกเปลือกก่อน แต่ถ้าทำขมิ้นชันบดเป็นผงต้องนำขมิ้นชันมาต้มน้ำให้เดือดสักพักหนึ่ง แล้วตักออกนำมาผึ่งให้เย็นหั่นเป็นแว่นเล็กๆ ตากแดดจนแห้ง อาจจะตากหลายครั้ง แล้วถึงจะนำมาบดให้เป็นผง ถ้าใช้เครื่องอบให้ขมิ้นชันแห้ง ความร้อนควรไม่เกิน 65 องศา ถ้าความร้อนเกินอาจเกิดสารสเตรอยด์ได้ กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น
( เวลา 03.00 - 05.00 น. )

ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเรงปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง
( เวลา 05.00 - 07.00 น. )

ช่วยแก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันในเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของสำไส้ใหญ่ ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป แต่ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้ชันพร้อมกับสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว หรือนำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆอยู่เป็นล้านๆเส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้
( เวลา07.00 - 09.000 น. )

ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม
( เวลา 09.00 - 11.00 น. )

ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลในปาก อ้วนเกินไปผอมเกินไปที่เกี่ยวข้องกับม้าม ลดอาการเป็นเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน
( เวลา 11.00 -13.00 น. )

ใครมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ หรือไม่มี ก็กินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลย 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปที่ผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป
( เวลา 13.00 - 15.00 น. )

ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย เพราะมีไขมันเกาะลำไส้เล็ก ไขมันที่เคลือบลำไส้จะเคลือบขยะเอาไว้ด้วยแล้วสะสมกัน ทำให้เกิดแก๊ส และมีอาการปวดท้องตอนบ่ายในช่วงเวลานี้ ถ้ากินสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว และขมิ้นชัน จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดีที่สุด สูตรโยเกิตนี้ตัวจุลินทรีย์จะช่วยเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็น บี 12 เพื่อส่งไปเลี้ยงสมองต่อไป
( เวลา 15.00 - 17.00 น. )

ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้
กินเหลือเลยเวลาจากช่วงนี้จนไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าจะไม่ค่อยเพลีย และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น การกินขมิ้นชันมากจะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่ให้เป็นผดผื่นคันง่ายๆ และช่วยขับไขมันในตับ ถ้ากินในปริมาณมาก การกินขมิ้นชัน แบบผงหรือบรรจุแคปซูล ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและสะอาดเชื่อถือได้ ไร้สารเคมีไม่มีสเตอรอย์ที่เกิดจากการอบแห้งด้วยความร้อนเกิน 65 องศา ควรตัดสินใจเอง เพราะเราจะต้องกินทุกวัน ก็ควรกินให้ปลอดภัยและสบายใจถ้ากินขมิ้นชัน แบบผง 1 ช้อนชา ใช้ผสมน้ำ 1 แก้ว(ไม่เต็ม) ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่

- ผ่านลำคอ ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ แล้วไปผ่านปอดช่วยดูแลปอดให้หายใจดีขึ้น ลดความชื้นของปวด
- ผ่านม้าม ก็ลดไขมัน และปรับน้ำเหลืองไม่ให้น้ำเหลืองเสีย
- ผ่านกระเพาะอาหาร ก็จะรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- ผ่านลำไส้ ก็สมานแผลในลำไส้
- ผ่านตับ ก็ไปบำรุงตับ ล้างไขมันในตับ
ขมิ้นชันยังช่วยดูแลเซลล์ต่างๆ ที่ฉีกขาด ก็จะไปเชื่อมให้ และไปกวาดขยะ กวาดไขมันมากองไว้ ถ้าจะอุ้มขยะไปทิ้งโดยการขับถ่ายก็กินอาหารปกติ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่มีกากใย หรือ กินน้ำลูกสำรอง(พุงทลาย) เพื่ออุ้มไขมัน อุ้มแก๊สไปทิ้ง *คนธาตุเบา แสดงว่ามีการระคายเคือง อักเสบ เป็นแผลเรื้อรังบางอย่างที่ผนังลำไส้เป็นอาจิณ *คนธาตุหนัก แสดงว่าปลายประสาทลำไส้ใหญ่เสื่อม อาจเกิดจากการกินยาถ่ายเป็นประจำ หรือกินน้ำน้อย ทั้งธาตุเบาและธาตุหนัก ไม่ดีทั้งคู่ ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่ามีปัญหาที่ลำไส้ และปลายประสาทลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หากปล่อยไว้ วันข้างหน้าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ควรกินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อค่อยๆ ปรับให้เข้าที่แล้ว กลับมาถ่ายได้อย่างปกติ

เพกา ผักพื้นบ้านต้านโรค


ชื่อวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum(L.) Vent ฝักอ่อนของเพกาเป็นผักพื้นบ้านชนิดหนึ่ง ยังพอหาได้ตลาดสดในหลายๆจังหวัด ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากเพกาสามารถขึ้นได้ตามที่รกร้างทั่วไป สามารถเจริญได้ดีในดินแทบทุกชนิด ฝักอ่อนของเพกาที่ยังไม่แข็ง มีรสขมร้อน นิยมรับประทานเป็นผัก แต่อาจจะต้องนำไปเผาไฟให้ไหม้เกรียม แล้วขูดเอาผิวที่ไหม้ไฟออก นำไปหั่นเป็นฝอยแล้วคั้นน้ำทิ้งหลายๆครั้ง หลังจากนั้นนำไปปรุงเป็นอาหาร เช่นผัดหรือแกง หรืออาจรับประทาน เป็นผักแกล้มลาบ ก้อย ยำ บางรายก็รับประทานเป็นผักสดๆ หรือลวกกินกับน้ำพริก ยอดอ่อนและดอกเพกานั้น สามารถรับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้เช่นเดียวกัน ส่วนฝักที่แก่แล้วของเพกาจะแตกออกแล้วมีเมล็ดที่มีปีกบางๆสีขาว ปลิวลอยล่องไปตามลมสวยงามมาก เมล็ดของเพกาเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่อยู่ในน้ำจับเลี้ยง เป็นยาเย็น มีฤทธิ์แก้ไอ ขับเสมหะ เพกา จัดเป็นสมุนไพรที่หมอยาพื้นบ้านใช้มากชนิดหนึ่ง ทั้งในส่วนของใบ เปลือก ราก

-ใบของเพกาเป็นยาเย็น เป็นส่วนประกอบสำคัญของยาเขียว โดยใบมีสรรพคุณฝาดขม ต้มน้ำดื่ม แก้ปวดข้อ แก้ปวดท้อง เจริญอาหาร

-รากมีรสฝาดขม เป็นยาแก้ท้องร่วง ฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อักเสบฟกบวม

-เปลือกต้นรสขมเย็น เป็นยาฝาดสมาน ดับพิษโลหิต ดับพิษกาฬ แก้น้ำเหลืองเสีย ป่นเป็นผงหรือชงกินกับน้ำ ใช้ขับเหงื่อ แก้ไขข้ออักเสบเฉียบเฉียบพลัน เป็นยาขมเจริญอาหาร ต้มกินแก้เสมหะจุกคอ ขับเสมหะ ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต แก้บิด แก้จุกเสียด ฝนกับสุรากวาดปากเด็ก แก้พิษซาง แก้ละออง ใช้ทาแก้ปวดฝี แก้ฟกบวม ผงเปลือกผสมขมิ้นชันเป็นเป็นยาแก้ปวดหลังของม้า แต่การใช้ประโยชน์ของฝักเพกาอ่อนบางอย่างไม่ค่อยได้รับการเปิดเผยมากนัก คือ มีหมอยาพื้นบ้านเล่าว่า เพกานั้นเป็นยาโป๊วที่ไม่เป็นสองรองใคร สามารถใช้ได้ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ซึ่งตามศาสตร์ตะวันออกแล้วก็มีความเป็นไปได้ เพราะเพกามีรสขมร้อน และยังมีรายงานทางเภสัชวิทยาพบว่าเพกามีฤทธิ์ลด คอเลสเตอรอล ซึ่งการที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลนั้นก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น อะไรๆมันก็ดีขึ้นเอง และรายงานการศึกษาที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งคือ มีการวิจัยผักพื้นบ้านไทย ของคุณเกศินี ตระกูลทิวากร จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อที่จะดูว่าผักพื้นบ้านชนิดใดบ้าง ที่มีคุณสมบัติในการต้าน การก่อมะเร็งจากผักทั้งหมด 48 ชนิด เพกาเป็นผัก 1 ใน 4 ชนิดที่มีฤทธิ์ต้านการก่อมะเร็งสูงสุด ซึ่งไม่น่าเป็นที่แปลกใจเลย เนื่องจากในฝักเพกามีวิตามินซีสูงมาก สูงถึง 484 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ในขณะที่มะนาว (แหล่งวิตามินซีที่ฝรั่งรู้จัก) มีเพียง 20 มิลลิกรัม นอกจากนี้ฝักเพกายังมีวิตามินเอ 8221 มิลลิกรัมใน 100 กรัมพอๆกับตำลึงทีเดียว ถ้าเรามองหาพืชผักที่ต่อต้านอนุมูลอิสระที่คอยทำลายเซลล์ของร่างกาย ทำให้เซลล์เกิดความไม่สมดุลย์จนเกิดกลายเป็นมะเร็ง จนเกิดการแก่ชราก่อนกำหนด ดูเหมือนเพกาจะเป็นสมุนไพรที่เหมาะที่สุดที่จะปกป้องเซลล์ของคนเราจากอนุมูลอิสระเพราะมีทั้งวิตามินเอและวิตามินซีในปริมาณสูง ซึ่งวิตามินทั้งสองจะทำงานร่วมกับ วิตามินอี ที่มีในรำข้าว ในข้าวกล้อง ส่วนเซเลเนียม มีมากในข้าว กระเทียม หอมใหญ่ หอม มะเขือเทศ จมูกข้าวสาลี และอาหารทะเล ดังนั้นถ้ากินยำฝักเพกา (อาหารเหนือ) กับข้าวกล้องก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ ยำฝักเพกา มีส่วนประกอบดังนี้ ฝักเพกา 1 ฝัก พริกสด 3 เม็ด ขิง 3 ซ.ม. ข่า 1 แว่น กระเทียม 4 กลีบ ปลาร้า 1 ช้อนโต๊ะ นำฝักเพกามาเผาไฟให้สุก ห่อด้วยใบตอง ใช้เวลาเผาประมาณ 15 นาที ขูดเอาผิวออก หั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ โขลกพริกขิงข่า กระเทียม ให้ละเอียด ปลาร้า ต้มสุกเหลือน้ำประมาณ 5-6 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำเครื่องยำและเพกามาคลุกให้เข้ากันนำยำ และนำยำเพกามารับประทานกับข้าวกล้อง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องกินอาหารเสริมต้านมะเร็งตัวไหนๆอีกแล้ว

กินเพื่อสุขภาพ



1. กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำ
ให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด
ที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหาย
ไปได้


2. เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การ กินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้

3. มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณใน การควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย

4.ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริงหรือ ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร

5. การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยว หมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้ จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพัก หนึ่ง

6. การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึก ผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น

7.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียด ลงได้ดีออกมาด้วย

8. การกินช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้น ประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรัง อย่างได้ผล

9. การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย 10. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือ จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อม